ความพยายามของโคเปนเฮเกน (Copenhagen) เมืองหลวงแห่งประเทศเดนมาร์ก ในการที่จะลดร่องรอยคาร์บอนที่เมืองเคยสร้างไว้ลงให้ได้ 20% ภายในปีค.ศ.2015 นั้น ได้ส่งผลให้โคเปนเฮเกนไต่ขึ้นอันดับเมืองสีเขียว (Green City) ของโลกจากการจัดอันดับของหลายสถาบัน และสำหรับการจัดอันดับครั้งล่าสุดโดยศูนย์วิจัยสิ่งแวดล้อมลอสแอนเจลิส มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย โคเปนเฮเกนก็ไปคว้าตำแหน่งเมืองสีเขียวอันดับ 10 มาได้อีกครั้ง โดยคณะกรรมการเล็งเห็นถึง “คุณลักษณะสีเขียว” ที่โดดเด่นของเมืองๆ นี้ในหลายแง่มุม อันได้แก่
1. ความเป็นเมืองหลวงแห่งจักรยานและการออกแบบผังเมืองเพื่อรองรับนักปั่น
ดูท่าว่าโคเปนเฮเกนจะกลายเป็นเมืองหลวงแห่งจักรยานไปแล้วอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะในปัจจุบัน 40% ของผู้คนที่อาศัยในเมืองนี้ขี่จักรยานไปทำงาน ไปโรงเรียน ฯลฯ ถึงขนาดมีระยะทางวิ่งรวมกันต่อวันอยู่ที่ 1.1 ล้านกิโลเมตร ซึ่งทางผู้บริหารเมืองก็เผยว่า ภายในปีค.ศ.2015 พวกเขาจะทำการรณรงค์ให้ชาวเมืองหันมาใช้จักรยานเพิ่มขึ้นเป็น 50% ให้ได้ อย่างไรก็ดีเมืองโคเปนเฮเกนค้นพบว่า การเพิ่มจำนวนและระยะทางของเลนจักรยานนั้นยังไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีพอที่จะทำให้คนเมืองหันมาเสพติดการขี่จักรยานได้ ความสะดวกและความปลอดภัยสูงสุดของผู้ขับขี่ต่างหากที่เป็นกุญแจสำคัญ ล่าสุดโคเปนเฮเกนจึงทำการปรับปรุงถนนที่มีอยู่เดิมให้ตอบรับกับวิถีของนักปั่นจักรยานมากขึ้น เช่น
มีเลนจักรยานที่ทาสีฟ้าบนถนนกว่า 300 กิโลเมตรรอบเมือง ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกและลดอุบัติเหตุให้กับนักปั่นมือใหม่และเด็กๆ
เพิ่มตำแหน่งการติดตั้งสัญญาณไฟจราจรที่ระดับสายตาของนักปั่นโดยเฉพาะ
จัดให้มีจักรยานสาธารณะบริการฟรี 2000 คัน โดยมีจุดจอดในตัวเมืองถึง 110 จุด พร้อมมีระบบการยืมขี่และจอดคืนที่สะดวกง่ายดา
2. การใช้ไฟฟ้าจากพลังงานลมและพลังงานสะอาดอื่นๆ
เดนมาร์กได้เริ่มพัฒนาการผลิตไฟฟ้าด้วยแรงลมมาตั้งแต่ช่วงปีค.ศ.1980 ปัจจุบันประเทศนี้มีกังหันลมรวมกว่า 5,000 ต้นทั่วประเทศ ซึ่งสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณหนึ่งในห้าของปริมาณการใช้ในประเทศ นอกจากนั้นแล้วแนวโน้มการใช้ไฟฟ้าจากแผงโซล่าร์เซลล์และพลังงานความร้อนใต้พิภพก็กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเส้นทางการพัฒนาพลังงานสะอาดของประเทศนี้ยังมีอีกยาวไกล (และต้องการการลงทุนอีกมาก) เพราะแค่โคเปนเฮเกนเมืองเดียวก็ได้ตั้งเป้าไว้ว่า ภายในปีค.ศ.2030 พลังงานที่ใช้ในเมืองครึ่งหนึ่งจะต้องเป็นพลังงานทางเลือกที่ยั่งยืนเท่านั้น
3. การจัดสวนสาธารณะและสถานที่พักผ่อนไว้ใกล้ตัวประชาชน
ภายในปีค.ศ.2015 เมืองโคเปนเฮเกนวางแผนจะสร้างสวนสาธารณะขนาดเล็กเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง เพื่อให้ประชากร 90% ของเมืองสามารถเดินทางไปพักผ่อนได้สะดวกยิ่งขึ้น (ใช้เวลาเดินเท้าจากบ้านถึงสวนไม่เกิน 15 นาที) ส่วนพื้นที่สาธารณะเดิมที่มีอยู่แล้วอย่าง Amateur Strandberg สถานที่พักผ่อนริมทะเล (เป็นชายหาดยาว 4.6 กม.) ก็เพิ่งได้รับการบูรณะให้กลับคืนสู่ในสภาพดีอีกครั้งในปีค.ศ.2005 ยังไม่รวมถึงคลองและทะเลสาบรอบเมืองที่ก็ได้รับการปรับสภาพน้ำให้ใสสะอาด ชนิดที่ชาวเมืองสามารถลงไปว่ายน้ำเล่นได้สบายๆ
4. การปลูกจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้แก่ประชากรตัวน้อย
นอกจากสภาพแวดล้อมของเมืองโคเปนเฮเกนจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว แน่นอนว่ามันยังต้องเป็นมิตรกับเด็กๆ ด้วย เด็กๆ ที่อาศัยในเมืองนี้จะมีพื้นที่สำหรับเล่นสนุกมากมาย (ที่ทั้งสะอาด ปลอดภัย และใกล้ชิดธรรมชาติ) โดยทางผู้บริหารเมืองเชื่อว่าสภาพแวดล้อมเช่นนี้จะปลูกจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้กับเด็กๆ ไปด้วยในตัว ทุกวันนี้เด็กตามโรงเรียนต่างๆ ได้รับเอาแนวคิดเรื่องการรีไซเคิลและการแยกขยะเข้ามาในชีวิตประจำวันแล้วไม่น้อย นอกจากนั้น ในตัวเมืองโคเปนเฮเกนเองยังมีศูนย์การเรียนรู้อีกหลายแห่ง ที่เปิดช่องให้เด็กๆ ได้เล่นสนุกกับแนวคิดพลังงานทางเลือก เช่น มีกิจกรรมการแข่งขันสร้างกระแสไฟฟ้าด้วยการปั่นจักรยาน เป็นต้น
5. การเป็นเมืองแห่งอาหารออร์แกนิก
ทุกวันนี้ 33% ของอาหารที่ผู้คนบริโภคในเมืองโคเปนเฮเกนเป็นอาหารออร์แกนิก (ไม่เพียงแค่อาหารและเครื่องดื่มเท่านั้น ปัจจุบันสินค้าอุปโภคต่างๆ ก็พยายามปรับตัวเป็นออร์แกนิกกันมากขึ้นเรื่อยๆ) ตัวเลข 33% นี้ถือเป็นตัวเลขที่น่าชื่นชมไม่น้อย แต่สำหรับโคเปนเฮเกนแล้วดูเหมือนว่ามันจะยังไม่พอ เพราะพวกเขาตั้งเป้าไว้ว่าภายในปีค.ศ.2015 เขาจะทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคในเมืองเป็นออร์แกนิกให้ได้ถึง 90% เลยทีเดียว
6. การมีอุตสาหกรรมโรงแรมที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
เป็นที่น่ายินดีที่ธุรกิจโรงแรมหลายแห่งในโคเปนเฮเกนหันมายึดหลักการใช้ทรัพยากรแบบยั่งยืน โดย Kristen Skovgaard Aggersborg ผู้บริหารจาก Axel Hotel เผยกับสื่อมวลชนว่า โรงแรมหลายแห่งในปัจจุบันเริ่มหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกและผลิตภัณฑ์แฟร์เทรด (Fair Trade) กันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม ผ้าปูที่นอน สบู่ แชมพู ฯลฯ รวมทั้งยังไม่ลืมที่จะใช้พลังงานสะอาดภายในบริเวณของโรงแรมด้วย
ทั้งหมดนี้คือนโยบายและความเคลื่อนไหวของเมืองโคเปนเฮเกนในการที่จะลดปริมาณคาร์บอนลงให้มากที่สุด (ซึ่งสวนทางกับกระแสเศรษฐกิจของเมืองที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ) เชื่อแน่ว่าภายในปีค.ศ.2015 โคเปนเฮเกนจะกลายเป็นเมืองที่พรั่งพร้อมด้วยเอกลักษณ์ใหม่ทางด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งเมืองหลวงสีเขียวแถวหน้าสุดของโลกได้อย่างแน่นอน
ต้นเรื่อง : tcdc.or.th